Search
Search

6 ประเภทภาษี ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ SMEs

มีคำกล่าวว่า สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือความตายและภาษี แม้ในบทบาทคนธรรมดา แค่ซื้อของในร้านสะดวกซื้อก็ได้จ่ายภาษีแล้ว ดังนั้นในการทำธุรกิจก็ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องภาษีเช่นเดียวกัน เมื่อผู้ประกอบการทำการจดทะเบียนเป็นบริษัทแล้วนั้น จะมีภาษีที่เกี่ยวข้องด้วยกันอยู่หลายประเภท จำเป็นต้องทำความเข้าใจและทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SMEs ที่ต้องวางแผนจัดการให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจโดนปรับเบี้ยเพิ่มจากกรมสรรพากร ลองมาดู 6 ประเภทภาษี ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ SMEs ว่ามีอะไรบ้าง

6 ประเภทภาษี ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ SMEs

  1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคล ทั้งในรูปแบบบริษัทหรือห้าง หุ้นส่วน โดยกรมสรรพากรจะเป็นผู้จัดเก็บเพื่อนำส่งรายได้ให้รัฐบาล เรียกง่าย ๆ คือ ภาษีที่รัฐเรียกเก็บจากนิติบุคคลนั่นเอง โดยในหนึ่งปีจะยื่น 2 ครั้ง คือภาษีเงินได้ครึ่งปีโดยใช้ ภ.ง.ด. 51 และภาษีเงินได้ ประจำปีโดยใช้ ภ.ง.ด.50 สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคล ฐานภาษีจะคำนวณมาจากกำไรสุทธิทางภาษี เรียกง่าย ๆ คือ จะเก็บภาษีจาก “ผลกำไร” ของบริษัท ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ บริษัทจำเป็นต้องมีการทำบัญชีที่ชัดเจน รับรู้ต้นทุน รายได้ที่ถูกต้อง เพื่อนำมาใช้คำนวณผลกำไร ซึ่งส่วนของกำไรนี้เอง ที่จะคิดเป็น “เงินได้” ที่ต้องเสียภาษี
  2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือที่เรียกว่า VAT คือ ภาษีที่เก็บเพิ่มจากราคาสินค้าหรือบริการที่คิดกับลูกค้า โดยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7% โดยตามกฎหมายประเภทภาษีนี้ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี บริษัทจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร และต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ให้กับสรรพากรในเวลาที่กำหนด โดยใช้ ภ.พ.30 (เอกสารสรุปภาษีซื้อ-ภาษีขาย) ในการยื่นแสดงภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรทุกเดือน ประเภทภาษีภาษีมูลค่าเพิ่ม การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง จะคำนวณมาจาก ‘ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ’ โดยภาษีขายก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เราเรียกเก็บกับลูกค้า โดยเก็บเพิ่มหรือบวกเพิ่มไปในราคาสินค้า/บริการ ส่วนภาษีซื้อ ก็คือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เราชำระให้กับผู้ขาย เมื่อไปซื้อสินค้า/บริการกับที่อื่น (ซึ่งส่วนนี้จะเป็นภาษีที่ขอคืนได้)
    • ถ้าในเดือนภาษีนั้น ภาษีขาย มากกว่า ภาษีซื้อ ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายเท่ากับส่วนต่างระหว่างภาษีขายและภาษีซื้อให้กรมสรรพากร แต่ถ้าภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย จะสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนี้จากสรรพากรได้ หรือเก็บเป็นเครดิตไว้หักลบในเดือนถัดไปก็ได้ ดังนั้นการจัดการภาษีซื้อ ภาษีขายจึงมีความสำคัญมาก หากไม่มีการบันทึกบัญชีภาษีซื้ออย่างถูกต้องตามจริง จะทำให้เสียโอกาสในการขอคืนภาษีได้
  3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ ภาษีที่ ผู้จ่ายเงินต้องหักเงินผู้รับเงิน เอาไว้บางส่วน หากเข้าใจง่าย ๆ คือเมื่อบริษัท ต้องได้ไปจ่ายค่าบริการต่าง ๆ ให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคล บริษัทจะต้องหักเงินจำนวนหนึ่งตามกฎหมาย หรือ หัก ณ ที่จ่ายเอาไว้เพื่อนำส่งภาษีให้รัฐ จำนวนเงินที่หัก ณ ที่จ่ายเอาไว้นั้นจะต้องนำส่งสรรพากรภาย ในวันที่ 7 ของเดือนถัดไปโดยใช้แบบ ภงด.3 (หัก ณ ที่จ่ายบุคคลธรรมดา) หรือ ภงด.53 (หัก ณ ที่จ่าย นิติบุคคล)โดยประเภทภาษีหัก ณ ที่จ่าย อัตราภาษีที่ต้องหัก จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าเราจ่ายให้ใครและจ่าย ค่าอะไร เช่น ค่าบริการ หัก ณ ที่จ่าย 3%, ค่าเช่า หัก ณ ที่จ่าย 5%, ค่าขนส่ง หัก ณ ที่จ่าย 1% เป็นต้น และผู้หักจะต้องออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย ให้แก่ผู้ถูกหัก หนังสือฉบับนี้ผู้ถูกหักสามารถนำไปขอคืน จากรัฐหรือไปลดภาระภาษีได้
  4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ คือ ภาษีที่เรียกเก็บแบบเฉพาะธุรกิจ บางธุรกิจเท่านั้น โดยทั่วไป เช่น ธนาคารพาณิชย์ โรงรับจำนำ ธุรกิจค้าขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น รายละเอียดจะอยู่ในกฎหมายเฉพาะที่ใช้กำกับดูแลธุรกิจแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ซึ่งถ้าทำธุรกิจที่เข้าข่ายธุรกิจเฉพาะก็จำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการยื่นภาษี
  5. ภาษีป้าย คือ ภาษีที่เก็บจากการแสดงป้าย โดยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ป้ายในที่นี้ หมายความว่า ป้ายที่ปรากฏ ชื่อ ยี่ห้อ หรือเครื่องหมายทางการค้า สำหรับการประกอบกิจการ การทำการค้าหรือ โฆษณาเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของตัวอักษร ภาพ หรือสัญลักษณ์ บนวัสดุใดๆ ก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายก็มีป้ายบางชนิดที่ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งจุดนี้หากผู้ประกอบการมีการ ทำธุรกิจที่ต้องมีป้าย ตั้งป้าย ต้องประเมินก่อนว่าป้ายที่ใช้นั้นเข้าข่ายต้องเสียภาษีหรือไม่ เพื่อไม่ให้ถูกปรับ เพราะหากไม่เสียภาษีป้ายภายในวันที่กำหนด ต้องระวางโทษปรับวันละ 100 บาท หรือหากพบว่าจงใจไม่ยื่นแบบประเมินภาษีป้าย ต้องระวางโทษปรับปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท เลยทีเดียว
  6. อากรแสตมป์ คือ ภาษีประเภทหนึ่งที่รัฐจัดเก็บจากการกระทำตราสาร (เอกสารแสดงสิทธิ์ต่างๆ) หรือ ทำสัญญา ซึ่งตามประมวลรัษฎากรแล้วภาษีประเภทนี้จะจัดเก็บในรูปแบบของดวงแสตมป์ ใช้ในการปิด บนเอกสารที่ใช้ในราชการ ปิดบนหนังสือสัญญาต่าง ๆ ซึ่งสามารถซื้ออากรแสตมป์ได้ที่กรมสรรพากรอากรแสตมป์ ไม่ใช่แสตมป์สำหรับส่งไปรษณีย์ แต่อากรแสตมป์เป็นภาษีที่ต้องเสียเมื่อทำธุรกรรมบางอย่าง (มี 28 อย่าง) เช่น สัญญาเช่าที่ เช่าซื้อ จ้างทำของ หรือการกู้ยืมเงิน เป็นต้น
Share the Post:

หัวข้อน่าสนใจ

dSURE Star

เน็กซัสฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ดิจิทัล dSURE software จาก depa

skincare makeup oem cloud erp

ทำไมธุรกิจเครื่องสำอางค์ สกินแคร์ และ OEM ควรเลือกใช้ระบบ SAP Cloud ERP

Search
  • 00Days
  • 00Hours
  • 00Minutes
  • 00Seconds

Digital Transformation

dSURE Star

เน็กซัสฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ดิจิทัล dSURE software จาก depa

skincare makeup oem cloud erp

ทำไมธุรกิจเครื่องสำอางค์ สกินแคร์ และ OEM ควรเลือกใช้ระบบ SAP Cloud ERP

Customer Story

โรงพยาบาลรวมใจรักษ์เพิ่มศักยภาพระบบ ERP – SAP Business One เชื่อมต่อค่าธรรมเนียมแพทย์ Doctor Fee เพิ่มความโปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

Crown Seal PCL ยกระดับประสิทธิภาพของธุรกิจด้วย SAP Upgrade to RISE with SAP S/4HANA Cloud

Popular Contents

dSURE Star

เน็กซัสฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ดิจิทัล dSURE software จาก depa

skincare makeup oem cloud erp

ทำไมธุรกิจเครื่องสำอางค์ สกินแคร์ และ OEM ควรเลือกใช้ระบบ SAP Cloud ERP

SAP Best Midmarket

เน็กซัสฯ คว้ารางวัลส่งคุณค่าแห่งปี Best Midmarket Partner จาก SAP