ด้วยการแข่งขันทางธุรกิจที่มากขึ้น ธุรกิจในยุคปัจจุบันจึงต้องมีความหลากหลายและเป็นธุรกิจที่ครบวงจรเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยธุรกิจเดียวต้องแบ่งไลน์สินค้าและบริการออกเป็นหลายรูปแบบ บางรูปแบบต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่บางรูปแบบก็ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วตอนจะยื่นภาษีต้องทำอย่างไร? วันนี้บทความ “ภาษีซื้อเฉลี่ย เรื่องที่ธุรกิจ SMEs ไม่ควรมองข้าม” ของเรามีคำตอบ
ภาษีซื้อเฉลี่ยคืออะไร ทำไมจึงสำคัญกับ SMEs ?
ภาษีซื้อเฉลี่ย คือ การปันส่วนภาษีซื้อของธุรกิจ ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อยื่นสรรพากรของบริษัทที่ประกอบกิจการที่มีรายได้ ทั้งแบบเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทเหล่านี้จึงมีภาษีซื้อ ที่เกิดจากการนำสินค้าหรือบริการในการประกอบกิจการของตนเองไปใช้ ในทั้งกิจการ ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งไม่สามารถแยกได้ว่าใช้ในกิจการใด โดยหากกิจการไม่ทำการเฉลี่ยภาษีซื้อจะถือว่าเป็นภาษีซื้อต้องห้ามทั้งจำนวนเลยทีเดียว ทราบอย่างนี้แล้วเรามาเรียนรู้วิธีการคิดภาษีซื้อ เฉลี่ย 3 วิธีที่ใช้กันโดยทั่วไปกันดีกว่า
การเฉลี่ยภาษีซื้อตามประมาณการรายได้ กรณีผู้ประกอบการเพิ่งเริ่มประกอบการ หรือประกอบกิจการแล้วแต่ยังไม่มีรายได้ คือ คาดการณ์ว่าปีไหนบริษัทจะเริ่มมีรายได้ แล้วประมาณตอนต้นปี ตามรอบระยะเวลาบัญชีว่าสัดส่วนรายได้ ว่ารายได้ของกิจการส่วนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ และรายได้ของกิจการส่วนที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมดในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น แล้วนำมาปรับปรุงภาษีซื้อหรือก็คือ การเปรียบเทียบกับสัดส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับที่ประมาณการไว้ตอนปลายรอบระยะเวลาบัญชี ว่ามีส่วนต่างอยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าที่ประมาณการไว้นั้นมากกว่าที่เกิดขึ้นจริง เราต้องคืนเงินให้สรรพากร แต่ถ้าที่ประมาณการไว้นั้นน้อยกว่าที่เกิดขึ้นจริงเราจะได้เงินจากสรรพากร (ต้องยื่นเรื่องภายใน 3 ปี)
การเฉลี่ยภาษีซื้อตามรายได้ของปีที่ผ่านมา กรณีผู้ประกอบการประกอบการแล้วมีรายได้ของปีที่ผ่านมา กิจการสามารถเลือกได้สองวิธี คือ วิธีแรก ให้นำสัดส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นจริงของกิจการส่วนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และรายได้ของกิจการส่วนที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ของปีที่ผ่านมานำมาใช้เฉลี่ยภาษีซื้อ โดยไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้อเมื่อสิ้นปีอีก หรือ อีกวิธี ที่สามารถเลือกได้ คือ ให้นำสัดส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นจริงของกิจการส่วนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และรายได้ของกิจการส่วนที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ของปีที่ผ่านมานำมาใช้เฉลี่ยภาษีซื้อ แล้วปรับปรุงภาษีซื้อ เฉลี่ยโดยใช้วิธีและหลักเกณฑ์เดียวกันกับในปีแรกที่มีรายได้ในกิจการ
การเฉลี่ยภาษีซื้อทั่วไป หรือเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ : สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. การผ่อนปรนไม่ต้องเฉลี่ยภาษีซื้อตามรายได้
ทำได้ในกรณีที่
- รายได้ปีที่ผ่านของกิจการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่น้อยกว่า 90% ของรายได้ของกิจการทั้งหมด
ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกนำภาษีซื้อทั้งจำนวนหักจากภาษีขาย แต่ห้ามนำภาษีซื้อไปรวมคำนวณเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายของกิจการ และสิ้นปีไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้อ - รายได้ปีที่ผ่านมาของกิจการที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่น้อยกว่า 90% ของรายได้ของกิจการทั้งหมด
ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกไม่นำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักจากภาษีขาย แต่ให้นำภาษีซื้อไปรวมเป็นต้นทุนของทรัพย์สินหรือรายจ่ายของกิจการ และสิ้นปีไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้อ
2. การเฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคาร
เกิดจากการก่อสร้างอาคารที่แบ่งสัดส่วนไปใช้ เพื่อกิจการส่วนที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กับกิจการส่วนที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงเกิดการเฉลี่ยภาษีซื้อจากการสร้างอาคารขึ้น โดยผู้ประกอบการต้องประมาณการไว้ก่อนสร้างอาคารแล้วว่าจะใช้อาคารเพื่อกิจการส่วนที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และกิจการส่วนที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนละกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วตอนสร้างอาคารเสร็จใช้ตามที่ประมาณการไว้หรือไม่ แล้วทำการปรับปรุงภาษีซื้อ
3. การเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
ในกรณีที่ไม่ตรงกับ 2 สถานการณ์แรก คือ มีบางส่วนของอาคารไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าใช้กับกิจการส่วนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ห้องแผนกบัญชี ห้องกรรมการผู้จัดการ ห้องผู้บริหาร เป็นต้น ทางสรรพากรจะให้เฉลี่ยภาษีซื้อเฉพาะส่วนที่ไม่สามารถแยกได้นี้ตามสัดส่วนของรายได้กิจการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้น (กรณีมีรายได้ในปีนั้นอยู่ก่อน) หรือตามสัดส่วนรายได้ที่ประมาณการว่าจะได้ (ในปีที่คาดว่าจะมีรายได้)
จะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจ SMEs เข้าข่ายต้องยื่นภาษีซื้อเฉลี่ย
ธุรกิจที่ต้องยื่นภาษีซื้อ เฉลี่ย คือ ธุรกิจที่แยกสายการจำหน่ายสินค้าหรือบริการออกเป็นหลายส่วน แล้วบางส่วนเป็นแบบที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บางส่วนเป็นแบบไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามตัวอย่างด้านล่าง
บริษัท หมูน้อยอ้วนพี จำกัด
ซื้อหมูมาเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปสินค้าขาย โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- นำหมูมาแปรรูปเป็น หมูชิ้น แยกขายตาม Supermarket ทั่วประเทศ
(ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม – NON VAT) - นำหมูมาแปรรูปเป็น ไส้กรอกหมู แยกขายตาม Supermarket และ Convenience Store
(เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม – VAT)
จะเห็นได้ว่า บริษัท หมูน้อยอ้วนพี จำกัด นั้นมีการจำหน่ายสินค้าทั้งรูปแบบที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และรูปแบบที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในกรณีนี้ บริษัทหมูน้อยอ้วนพี จำกัด ต้องยื่นภาษีซื้อ เฉลี่ย แก่สรรพากร ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ธุกิจประเภทไหนไม่ต้องยื่นเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ NON VAT สามารถแบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ
1.ธุรกิจที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ธุรกิจที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ธุรกิจให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการให้บริการนั้นในราชอาณาจักร
- ธุรกิจที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว
- ธุรกิจอื่นตามที่อธิบดีฯสรรพากรกำหนด
2.ธุรกิจที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย แต่มีสิทธิแจ้งขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ธุรกิจขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร สัตว์ ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
- ธุรกิจการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน
- ธุรกิจการส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- ธุรกิจการให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีซื้อเฉลี่ย ในระบบ ERP
- แบบ ภ.พ.05.1 คือ แบบแจ้งรายการประมาณการการใช้พื้นที่อาคารโดยผู้ประกอบการจะต้องแจ้งรายการภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มก่อสร้างอาคารหรือวันที่ได้รับอนุมัติให้ ทางการก่อสร้างอาคารแล้วแต่วันใดจะเกิดขึ้นก่อน
- แบบ ภ.พ.05.2 คือ แบบแจ้งรายการวันที่ก่อสร้างอาคารเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจะต้องแจ้ง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ก่อสร้างอาคารเสร็จสมบูรณ์
- แบบ ภ.พ.05.3 คือ แบบแจ้งรายการเกี่ยวกับการเริ่มใช้อาคาร (ไม่ว่าทั้งหมดหรือ บางส่วน) โดยจะต้องแจ้งรายการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เริ่มใช้อาคาร
- แบบ ภ.พ.05.4 คือ แบบแจ้งรายการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่อาคารโดย จะต้องแจ้งรายการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่อาคาร
- แบบ ภ.พ.30 คือ เอกสารสรุปภาษีซื้อ-ภาษีขาย ที่เจ้าของธุรกิจต้องเอาไว้ใช้ยื่นแสดงภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรทุกเดือน โดยต้องทำก่อนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ทำไมต้องให้ NEXcloud ERP เป็นผู้ช่วยในการจัดทำเอกสารภาษีซื้อ
กระบวนการทำเอกสารบัญชีและภาษีที่ยุ่งยากกำลังกวนใจคุณอยู่หรือเปล่า? ให้ NEXcloud ERP เป็นตัวช่วยในการจัดทำเอกสารบัญชีและภาษีของคุณ นอกจากจะช่วยลดขั้นตอนการจัดทำเอกสารแล้ว คุณยังมั่นใจได้ว่าเอกสารถูกต้องตามที่สรรพากรต้องการ ทำให้ช่วยลดปัญหาที่จะตามมาอย่างเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ก้อนโตได้อย่างอยู่หมัดแน่นอน มีขั้นตอนสอนใช้แบบ Online Training ไม่ยุ่งยาก เท่านี้ก็วิ่งนำคู่แข่งไปอีกหลายก้าว