ทำไม Digital Transformation & Cloud ERP ถึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ
เลือกอ่านหัวที่สนใจ
Digital Transformation และระบบ Cloud ERP
ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจ คำว่า Digital Transformation ได้กลายเป็นคำที่ได้ยินบ่อยครั้ง แต่ความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร และทำไมการนำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) โดยเฉพาะ ระบบ ERP on Cloud มาใช้จึงเป็นก้าวที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกองค์กรที่ต้องการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล เน็กซัสฯ จะเจาะลึกความหมายของ Digital Transformation พร้อมชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างการปฏิรูปองค์กร และระบบ ERP ที่เป็นเหมือนรากฐานสำคัญของกระบวนการ
Digital Transformation: ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนทั้งองค์กร
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า Digital Transformation คือแค่การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การสร้างแอปพลิเคชัน การใช้คลาวด์ หรือการนำ AI มาใช้ในองค์กร แต่ในความเป็นจริงแล้ว Digital Transformation ครอบคลุมมากกว่านั้นมาก เพราะ Digital Transformation คือกระบวนการที่องค์กรใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในทุกแง่มุมของการดำเนินธุรกิจและวัฒนธรรมองค์กร โดยมีเป้าหมายหลักคือการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า และตลาดให้ดียิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
1. การเปลี่ยนแปลงกระบวนการ (Process Transformation): การปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน
2. การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (Cultural Transformation): การสร้างวัฒนธรรมที่เปิดรับนวัตกรรม การทดลอง และการเรียนรู้ การส่งเสริมให้พนักงานใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อการทำงานที่ชาญฉลาดขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ (Business Model Transformation): การสร้างสรรค์รูปแบบธุรกิจใหม่ๆ หรือช่องทางใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่ร้านหนังสือเปลี่ยนมาขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือบริษัทสื่อที่หันมาให้บริการสตรีมมิ่ง
ทำไมระบบ Cloud ERP จึงเป็นรากฐานของการทำ Digital Transformation?
ระบบ Cloud ERP คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยรวมศูนย์ข้อมูลและกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมดไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ตั้งแต่การเงิน, การบัญชี, การขาย, การตลาด, การจัดซื้อ, การผลิต, ไปจนถึงการจัดการทรัพยากรบุคคล โดยมีฐานข้อมูลหลักเพียงหนึ่งเดียว เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลที่ถูกต้องร่วมกันได้
เพราะเหตุนั้นการนำระบบ Cloud ERP มาใช้จึงไม่ใช่แค่การซื้อโปรแกรมใหม่ แต่คือการวางรากฐานสำคัญเพื่อรองรับการทำ Digital Transformation
1. การรวมศูนย์ข้อมูล : พื้นฐานที่สำคัญที่สุด
ก่อนจะเริ่มทำ Digital Transformation องค์กรต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าถึงได้ง่าย หลายบริษัทมีข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ในหลายระบบที่ไม่เชื่อมต่อกัน เช่น ไฟล์ Excel, โปรแกรมบัญชีแยกส่วน, ระบบจัดการคลังสินค้าแบบเก่า ทำให้ละแผนกทำงานบนข้อมูลของตัวเองและไม่สามารถแบ่งปันกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบจะเข้ามาทะลายข้อจำกัดเหล่านี้ด้วยการรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในฐานข้อมูลเดียวบนคลาวด์ ทำให้:
🔷 ข้อมูลมีความสอดคล้องกัน: ทุกคนในองค์กรจะใช้ข้อมูลชุดเดียวกันสำหรับการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า ยอดขาย หรือสถานะสินค้า
🔷 เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: พนักงานไม่ต้องเสียเวลาไปกับการตามหาข้อมูล หรือทำรายงานซ้ำซ้อน
🔷 ปลดล็อกศักยภาพของข้อมูล: เมื่อข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ที่เดียว องค์กรจะสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อดึงข้อมูลเชิงลึก มาใช้ในการวางแผนและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ได้
2. การสร้างมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ (Standardization & Process Optimization)
Digital Transformation ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากกระบวนการทำงานยังไม่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น ระบบเข้ามาช่วยในส่วนนี้ด้วยการ:
🔷 บังคับใช้กระบวนการมาตรฐาน: ระบบถูกออกแบบมาพร้อมกับ Best Practices ของอุตสาหกรรม ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานสำหรับทุกแผนก ลดความซับซ้อนและข้อผิดพลาด
🔷 เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอัตโนมัติ (Automation): ระบบช่วยทำงานซ้ำซ้อนที่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่น การออกใบสั่งซื้ออัตโนมัติเมื่อสต็อกใกล้หมด, การคำนวณต้นทุนการผลิต ทำให้พนักงานมีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์มากขึ้น
🔷 ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น: ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแผนก ทำให้กระบวนการทำงานต่างๆ ไหลลื่นขึ้น เช่น เมื่อฝ่ายขายเปิดคำสั่งซื้อ ระบบจะส่งข้อมูลไปยังฝ่ายคลังสินค้าและฝ่ายบัญชีโดยอัตโนมัติ
3. การสนับสนุนนวัตกรรมและรูปแบบธุรกิจใหม่ (Enabling Innovation & New Business Models)
เมื่อองค์กรมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง และกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพแล้ว ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้:
🔷 รองรับการเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีใหม่: ระบบสามารถเชื่อมต่อและบูรณาการกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้อย่างง่ายดาย เช่น IoT (Internet of Things) สำหรับการเก็บข้อมูลจากเครื่องจักรในโรงงาน, AI (Artificial Intelligence) สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลยอดขาย หรือ e-commerce platform เพื่อเปิดช่องทางการขายใหม่ๆ
🔷 ขับเคลื่อนการตัดสินใจด้วยข้อมูล (Data-driven Decisions): ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากระบบ ทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่, การขยายตลาด หรือการปรับปรุงกระบวนการผลิต
🔷 สร้างความยืดหยุ่น (Agility): ระบบจะช่วยให้องค์กรมีความคล่องตัวในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่น การปรับเปลี่ยนโมเดลการผลิตจากแบบ Made-to-Stock เป็น Made-to-Order
4. ความยืดหยุ่นในการปรับขนาดและปรับตัว (Scalability & Adaptability)
การทำ Digital Transformation ไม่ใช่แค่โปรเจกต์สั้นๆ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องมีการปรับปรุงอยู่เสมอ ระบบมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ:
🔷 ความสามารถในการปรับขนาด (Scalability): ระบบสามารถขยายขนาดได้ตามการเติบโตของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผู้ใช้งาน, เพิ่มสาขา หรือเพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ โดยไม่ต้องลงทุนใน Hardware ขนาดใหญ่
🔷 การอัปเดตต่อเนื่อง: ผู้ให้บริการ Cloud จะดูแลการอัปเดตระบบให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ทำให้องค์กรสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ และเทคโนโลยีล่าสุดได้โดยอัตโนมัติ
🔷 เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา: ด้วยการทำงานบนคลาวด์ พนักงานสามารถเข้าถึงระบบได้จากทุกที่ ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์ใดก็ได้ ขอเพียงมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพิ่มความคล่องตัวในการทำงานแบบไร้พรมแดน
Cloud ERP คือก้าวแรกของการทำ Digital Transformation
การทำ Digital Transformation คือการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับขององค์กร และ ระบบ Cloud ERP คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นและประสบความสำเร็จ
Cloud ERP ไม่ได้เป็นเพียงแค่โปรแกรมบัญชีหรือโปรแกรมจัดการคลังสินค้า แต่คือแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นแกนหลักขององค์กรยุคใหม่ ด้วยความสามารถในการรวมศูนย์ข้อมูล, สร้างมาตรฐานกระบวนการ, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอัตโนมัติ และเป็นตัวเชื่อมสู่เทคโนโลยีในยุคดิจิทัล
องค์กรใดที่ต้องการเริ่มต้นการทำ Digital Transformation หรือกำลังมองหาแนวทางที่ยั่งยืน การลงทุนในระบบ Cloud ERP ที่ทันสมัยและเหมาะสมกับธุรกิจ ถือเป็นก้าวแรกและเป็นก้าวที่สำคัญที่สุด การเลือกพาร์ทเนอร์ในกรดำเนินโครงการจึงมีความสำคัญ เพราะฉะนั้นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยระบบ Cloud ERP ที่จะช่วยให้ธุรกิจไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
แนะนำ 2 ระบบ SAP ERP ยอดนิยมที่ธุรกิจชั้นนำเลือกใช้
1. SAP S/4HANA Cloud
เหมาะสำหรับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ที่มีความซับซ้อนมาก ที่ในกระบวนการทางการบัญชี การเงิน การผลิต หรือซัพพลายเชน ต้องการระบบที่มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการธุรกิจ โดยใช้งานผ่านระบบ Server แบบ On-Cloud ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบ Private Cloud หรือแบบ Public Cloud พร้อมรอบรับการเติบโต การขยายตัวในทุกด้าน ใช้ระยะเวลาในติดตั้งระบบประมาณ 4-8 เดือน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ SAP S/4HANA Cloud ได้ที่ คลิก)
2. SAP Business One
เหมาะสำหรับบริษัทที่มีขนาดกลาง (SMEs) รวมไปจนถึงธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่มีความต้องการทางธุรกิจไม่ซับซ้อนมาก มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามความต้องการของธุรกิจ โดยสามารถเลือกรูปแบบการติดตั้งได้ทั้งแบบ On-Premise หรือ On-Cloud ตามความต้องการของธุรกิจ ใช้ระยะเวลาในการติดตั้งระบบประมาณ 4-5 เดือน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ SAP Business One ได้ที่ คลิก)
FAQ
คำถามที่พบบ่อย
เลือก SAP ERP ทำไมต้องเน็กซัสฯ
- เพราะหลายธุรกิจชั้นนำเลือกให้เน็กซัสฯ วาง และดูแลซัพพอร์ตระบบ SAP ERP ทั้ง SAP S/4HAAN และ SAP Business One
- มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญใน SAP ERP มามากกว่า 26 ปี และเป็น SAP Partner ในระดับ SAP Gold Partner
- ให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางธุรกิจไปจนถึงการดำเนินการวางระบบ และ Maintenance Support โดยทีมงานมืออาชีพ และมีประสบการณ์
- ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และได้รับใบรับรองจาก SAP Global Certification
- มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 10 อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการจัดจำหน่าย ธุรกิจการค้าปลีก-ค้าส่ง และธุรกิจการให้บริการ








