Cloud ERP สำหรับอุตสาหกรรมพลาสติก ฝ่าความท้าทาย บริหารงานผลิต-จัดจำหน่ายสู่ความยั่งยืน
เลือกอ่านหัวที่สนใจ
Cloud ERP ตอบโจทย์ทุกความท้าทาย ตั้งแต่ผลิตถึงจัดจำหน่าย
ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมต่างเผชิญแรงกดดันในการปรับตัว โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง มีความซับซ้อนในด้านการผลิต และต้องควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม การใช้ระบบ หรือซอฟต์แวร์แบบแยกส่วนในองค์กรอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
นี่คือจุดที่ Cloud ERP เข้ามามีบทบาทสำคัญ มันไม่ใช่เพียงแค่ซอฟต์แวร์ แต่เป็นรากฐานทางดิจิทัลที่จะช่วยให้ธุรกิจพลาสติกของคุณสามารถก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ และขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
รวม 6 ความท้าทายของของธุรกิจพลาสติก
อุตสาหกรรมพลาสติกเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจโลก มีบทบาทสำคัญในการผลิตสินค้าตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ ชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยความสำคัญนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องผ่านไปให้ได้
1. ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และอุปทาน
ราคาของเม็ดพลาสติก (Polymer) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก มักผันผวนตามราคาน้ำมัน และปัจจัยทางเศรษฐกิจโลก การจัดการสต็อก และการคาดการณ์ความต้องการอย่างแม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อลดความเสี่ยง และควบคุมต้นทุน
2. การจัดการกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน
ไม่ว่าจะเป็นการฉีดพลาสติก (Injection Molding), การเป่าขึ้นรูป (Blow Molding), การอัดรีด (Extrusion) หรือการขึ้นรูปด้วยความร้อน (Thermoforming) แต่ละกระบวนการมีรายละเอียดเฉพาะตัว การควบคุมคุณภาพ การบำรุงรักษาเครื่องจักร และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเป็นสิ่งจำเป็น
3. มาตรฐานคุณภาพ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
อุตสาหกรรมพลาสติกอยู่ภายใต้กฎระเบียบ และมาตรฐานคุณภาพที่เข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอาหาร การแพทย์ และยานยนต์ การตรวจสอบย้อนกลับ ของวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้
4. ความกดดันด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
กระแสความต้องการพลาสติกที่ยั่งยืน รีไซเคิลได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภค และกฎหมายใหม่ๆ เช่น การลดการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic) หรือการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
5. การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน
ตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก การผลิต การจัดเก็บสินค้าคงคลัง ไปจนถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปไปยังลูกค้าปลายทาง ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมพลาสติกมีความยาว และซับซ้อน การมองเห็นข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาคอขวด และเพิ่มประสิทธิภาพ
6. การแข่งขันที่รุนแรงและการทำกำไรที่ลดลง
ด้วยจำนวนผู้ผลิตและจัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจพลาสติกจึงเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาอัตรากำไร
5. การปรับตัวและนวัตกรรม (Adaptability & Innovation)
ท่ามกลางความท้าทายของธุรกิจ ระบบ Cloud ERP ได้กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ธุรกิจพลาสติกสามารถบริหารจัดการทรัพยากรทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การจัดซื้อ การผลิต การจัดการสินค้าคงคลัง การขาย การจัดจำหน่าย ไปจนถึงการบัญชี และการเงิน ทุกอย่างรวมอยู่ในระบบเดียวบนคลาวด์
1. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการวางแผน (Production Efficiency & Planning)
🔷 การวางแผนความต้องการวัสดุ (MRP) ที่แม่นยำ: ระบบ Cloud ERP ช่วยให้ธุรกิจพลาสติกสามารถวางแผนการจัดซื้อวัตถุดิบ และกำหนดตารางการผลิตได้อย่างแม่นยำ โดยพิจารณาจากคำสั่งซื้อ ประมาณการความต้องการ และระดับสินค้าคงคลัง ช่วยลดการสต็อกสินค้าเกินความจำเป็นหรือขาดแคลนวัตถุดิบ
🔷 การจัดการสูตรการผลิต (Bill of Materials – BOM) และกระบวนการผลิต: ระบบสามารถจัดการสูตรการผลิตที่ซับซ้อนสำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ รวมถึงการติดตามส่วนประกอบย่อย และกระบวนการผลิตในแต่ละขั้นตอน ช่วยให้การควบคุมคุณภาพ และการปรับปรุงกระบวนการทำได้ง่ายขึ้น
🔷 การติดตามสถานะการผลิตแบบเรียลไทม์: สามารถติดตามความคืบหน้าของการผลิตบนสายพานได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถระบุปัญหา หรือความล่าช้าได้อย่างรวดเร็ว และดำเนินการแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งสำคัญมากในอุตสาหกรรมที่มีการผลิตต่อเนื่อง
🔷 การจัดการของเสียและการรีไซเคิล: ระบบสามารถช่วยบันทึก และติดตามปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต และอาจเชื่อมโยงกับการจัดการวัสดุรีไซเคิล ช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน และลดต้นทุนการกำจัดของเสีย
2. เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน และการจัดการสินค้าคงคลัง (Supply Chain & Inventory Management)
🔷 การมองเห็นห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร: ระบบสามารถให้มุมมองที่สมบูรณ์ตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ การขนส่ง การผลิต การจัดเก็บ และการจัดจำหน่าย ช่วยให้ผู้บริหารสามารถระบุปัญหา และจุดที่สามารถปรับปรุงได้ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
🔷 การบริหารจัดการสต็อก: ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความต้องการ และการผลิต ธุรกิจสามารถรักษาระดับสต็อกวัตถุดิบ และสินค้าสำเร็จรูปให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ลดต้นทุนการจัดเก็บ และลดความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัยหรือเสียหาย
🔷 การจัดการซัพพลายเออร์: ระบบช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลซัพพลายเออร์ ประวัติการสั่งซื้อ และประสิทธิภาพการส่งมอบ ทำให้การเลือกซัพพลายเออร์ การเจรจาต่อรอง และการบริหารจัดการสัญญาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
🔷 การติดตามการจัดส่งและการขนส่ง: สามารถเชื่อมโยงกับระบบโลจิสติกส์เพื่อติดตามสถานะการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้า ช่วยให้สามารถแจ้งสถานะที่ถูกต้อง และคาดการณ์เวลาจัดส่งได้อย่างแม่นยำ
3. การควบคุมคุณภาพ และการตรวจสอบย้อนกลับ (Quality Control & Traceability)
🔷 การบันทึกข้อมูลคุณภาพอย่างละเอียด: ระบบสามารถบันทึก และจัดการข้อมูลการตรวจสอบคุณภาพในแต่ละขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การรับวัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ทำให้สามารถระบุ และแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพได้อย่างรวดเร็ว
🔷 การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability): หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมพลาสติก โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด Cloud ERP ช่วยให้สามารถติดตาม Lot Number หรือ Batch Number ของวัตถุดิบแต่ละล็อตที่ใช้ในการผลิตสินค้าชิ้นหนึ่งๆ รวมถึงข้อมูลการผลิต วันที่ผลิต และเส้นทางการจัดจำหน่าย หากเกิดปัญหาด้านคุณภาพขึ้น สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปถึงแหล่งที่มาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเรียกคืนสินค้า หรือการตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านกฎหมาย
4. การบริหารการเงิน และบัญชี (Financial & Accounting Management)
🔷 การรวมศูนย์ข้อมูลทางการเงิน: ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการขาย การจัดซื้อ การผลิต และการจัดการสินค้าคงคลังจะถูกรวมเข้าไว้ในระบบบัญชีเดียว ทำให้การปิดงบประมาณ รายงานทางการเงิน และการวิเคราะห์ต้นทุนเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
🔷 การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตที่แม่นยำ: ช่วยให้ธุรกิจสามารถคำนวณต้นทุนการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติกแต่ละชนิดได้อย่างละเอียด รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดราคาขาย และการวิเคราะห์กำไร
🔷 การจัดการกระแสเงินสด และงบประมาณ: ระบบจะช่วยในการประเมินกระแสเงินสด จัดทำงบประมาณ และติดตามการใช้จ่าย ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างชาญฉลาด
🔷 การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษี และกฎหมาย: ระบบจะช่วยให้การบันทึกบัญชีและการจัดทำรายงานเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและข้อกำหนดทางกฎหมายของประเทศ
5. การปรับตัวและนวัตกรรม (Adaptability & Innovation)
🔷 ความยืดหยุ่นและ Scalability: Cloud ERP มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับขนาดได้ตามการเติบโตของธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะขยายกำลังการผลิต เพิ่มสายผลิตภัณฑ์ หรือเปิดสาขาใหม่ ระบบก็สามารถรองรับได้อย่างไร้รอยต่อ คุณไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไอทีขนาดใหญ่แต่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้ตามความต้องการ
🔷 เข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ: ผู้ให้บริการ Cloud ERP ชั้นนำมักจะอัปเดตระบบด้วยฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ และเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Machine Learning (ML) เพื่อการพยากรณ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น, Internet of Things (IoT) สำหรับการเชื่อมต่อเครื่องจักรและการเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ หรือ Analytics & Business Intelligence (BI) สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวล้ำนำคู่แข่ง
🔷 ลดภาระด้าน IT: เมื่อใช้ Cloud ERP ธุรกิจไม่จำเป็นต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์ การอัปเดตซอฟต์แวร์ หรือการสำรองข้อมูลด้วยตนเอง ผู้ให้บริการ Cloud จะรับผิดชอบในส่วนนี้ทั้งหมด ทำให้ทีม IT ภายในสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมและการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจแทน
🔷 การทำงานร่วมกันที่ดีขึ้น: Cloud ERP ช่วยให้แผนกต่างๆ เช่น การผลิต การขาย การตลาด การเงิน และซัพพลายเชน สามารถทำงานร่วมกันบนแพลตฟอร์มเดียว เข้าถึงข้อมูลชุดเดียวกันและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนะนำ 2 ระบบ SAP ERP ยอดนิยมที่ธุรกิจพลาสติกชั้นนำเลือกใช้
1. SAP S/4HANA Cloud
เหมาะสำหรับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ที่มีความซับซ้อนมาก ที่ในกระบวนการทางการบัญชี การเงิน การผลิต หรือซัพพลายเชน ต้องการระบบที่มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการธุรกิจ โดยใช้งานผ่านระบบ Server แบบ On-Cloud ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบ Private Cloud หรือแบบ Public Cloud พร้อมรอบรับการเติบโต การขยายตัวในทุกด้าน ใช้ระยะเวลาในติดตั้งระบบประมาณ 4-8 เดือน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ SAP S/4HANA Cloud ได้ที่ คลิก)
2. SAP Business One
เหมาะสำหรับบริษัทที่มีขนาดกลาง (SMEs) รวมไปจนถึงธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่มีความต้องการทางธุรกิจไม่ซับซ้อนมาก มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามความต้องการของธุรกิจ โดยสามารถเลือกรูปแบบการติดตั้งได้ทั้งแบบ On-Premise หรือ On-Cloud ตามความต้องการของธุรกิจ ใช้ระยะเวลาในการติดตั้งระบบประมาณ 4-5 เดือน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ SAP Business One ได้ที่ คลิก)
FAQ
คำถามที่พบบ่อย
เลือก SAP ERP ทำไมต้องเน็กซัสฯ
- เพราะหลายธุรกิจชั้นนำเลือกให้เน็กซัสฯ วาง และดูแลซัพพอร์ตระบบ SAP ERP ทั้ง SAP S/4HAAN และ SAP Business One
 - มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญใน SAP ERP มามากกว่า 26 ปี และเป็น SAP Partner ในระดับ SAP Gold Partner
 - ให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางธุรกิจไปจนถึงการดำเนินการวางระบบ และ Maintenance Support โดยทีมงานมืออาชีพ และมีประสบการณ์
 - ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และได้รับใบรับรองจาก SAP Global Certification
 - มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 10 อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการจัดจำหน่าย ธุรกิจการค้าปลีก-ค้าส่ง และธุรกิจการให้บริการ
 
								
															
															
															
															
								
															
								
								
								
								


								





