Cloud ERP ตัวปลดล็อกความสำเร็จในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม – พลิกเกมแข่งขันในอุตสาหกรรม F&B
เลือกอ่านหัวที่สนใจ
ปลดล็อกความสำเร็จในธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน และหลากหลายกว่าที่เคย ตั้งแต่การจัดการซัพพลายเชนที่ซับซ้อน ไปจนถึงการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การแข่งขันที่ดุเดือด และอัตรากำไรที่บางลง ทำให้การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และชาญฉลาดเป็นสิ่งจำเป็น แล้วอะไรคือสิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจให้อยู่รอด และเติบโตได้ในสมรภูมินี้? เน็กซัสฯ มีคำตอบ นั้นคือ “Cloud ERP” ระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ ขององค์กรอย่างครบวงจร และจะต้องเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะ
รวม 6 ความท้าทายของของธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความท้าทายที่แตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างชัดเจน การทำความเข้าใจความท้าทายเหล่านี้เป็นก้าวแรกสู่การมองหาโซลูชันที่เหมาะสม
1. การจัดการซัพพลายเชนที่ซับซ้อน
🔷 ความผันผวนของวัตถุดิบ: ราคา และคุณภาพของวัตถุดิบทางการเกษตรมักไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับฤดูกาล สภาพอากาศ และปัจจัยทางเศรษฐกิจ การคาดการณ์ และวางแผนการจัดซื้อจึงเป็นเรื่องยาก
🔷 การควบคุมคุณภาพ และความปลอดภัย: วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์อาหารต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค และเป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัยที่กำหนด การติดตามย้อนกลับ (Traceability) ของส่วนประกอบแต่ละอย่างจึงสำคัญมาก
🔷 อายุการเก็บรักษาที่จำกัด: สินค้าอาหาร และเครื่องดื่มส่วนใหญ่มีอายุการเก็บรักษาที่สั้น ทำให้ต้องมีการจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการสูญเสียจากสินค้าหมดอายุ และรักษาสภาพความสดใหม่
🔷 การขนส่ง และอุณหภูมิที่ต้องควบคุม: สินค้าหลายชนิดต้องการการขนส่งภายใต้อุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อรักษาคุณภาพ และความปลอดภัย การจัดการโลจิสติกส์จึงต้องแม่นยำ และน่าเชื่อถือ
2. กฎระเบียบ และข้อบังคับที่เข้มงวด
🔷 มาตรฐานสุขอนามัย: อุตสาหกรรมนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เช่น อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ซึ่งกำหนดมาตรฐานด้านสุขอนามัย ส่วนผสม ฉลากโภชนาการ และกระบวนการผลิตอย่างละเอียด การไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่การถูกปรับหรือปิดกิจการ
🔷 การติดฉลาก และข้อมูลโภชนาการ: การระบุส่วนประกอบ สารก่อภูมิแพ้ ข้อมูลโภชนาการ และวันหมดอายุบนฉลากอย่างถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็น และมีกฎหมายควบคุม
🔷 การติดตามย้อนกลับ (Traceability): ความสามารถในการติดตามแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และเส้นทางการผลิตของสินค้าแต่ละล็อต มีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดปัญหาด้านคุณภาพหรือการเรียกคืนสินค้า
3. การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และของเสีย
🔷 ความท้าทายในการคาดการณ์ความต้องการ: การพยากรณ์ความต้องการของผู้บริโภคเป็นเรื่องยาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากเทรนด์การบริโภค ฤดูกาล โปรโมชั่น และคู่แข่ง หากคาดการณ์ผิดพลาด อาจนำไปสู่สต็อกล้น (overstock) หรือสต็อกขาด (understock)
🔷 การลดของเสีย: สินค้าที่เน่าเสียง่ายทำให้เกิดของเสียจำนวนมาก หากการบริหารจัดการไม่ดี การลดของเสียตลอดห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาอัตราการได้กำไร
4. การผลิตที่ซับซ้อน และการควบคุมสูตร
🔷 การปรับปรุงสูตร: การพัฒนา และปรับปรุงสูตรสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเป็นสิ่งจำเป็น การจัดการสูตรที่มีความซับซ้อน และวัตถุดิบหลากหลายต้องทำอย่างแม่นยำ
🔷 การผลิตตามคำสั่งซื้อ (Made-to-Order) vs. การผลิตเพื่อสต็อก (Made-to-stock): ธุรกิจอาจต้องบริหารจัดการทั้งสองรูปแบบ ซึ่งต้องการการวางแผนการผลิตที่แตกต่างกัน
🔷 การจัดการผลผลิตร่วม/ผลพลอยได้ (Co-products/By-products): ในบางกระบวนการผลิต อาจมีผลผลิตร่วมหรือผลพลอยได้ที่ต้องจัดการ และคำนวณต้นทุนอย่างเหมาะสม
5. การแข่งขันสูง และอัตรากำไรที่บางลง
🔷 แรงกดดันด้านราคา: ตลาดมีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งกันลดราคา ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร
🔷 ความคาดหวังของผู้บริโภค: ผู้บริโภคคาดหวังสินค้าที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และราคาที่สมเหตุสมผล
6. การจัดการช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย
🔷 ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มอาจจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น ร้านค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร โรงแรม หรือช่องทางออนไลน์ การบริหารจัดการคำสั่งซื้อ การจัดส่ง และการชำระเงินจากแต่ละช่องทางจึงซับซ้อน
7 เหตุผล ทำไม Cloud ERP จึงสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม?
เพราะระบบ Cloud ERP (Enterprise Resource Planning on Cloud) ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มสามารถเอาชนะความท้าทายข้างต้น และก้าวไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Cloud ERP ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของอุตสาหกรรม
1. การมองเห็น และการควบคุมแบบเรียลไทม์
🔷 ข้อมูลครบวงจร: ระบบ ERP สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อ การผลิต การขาย การเงิน และการจัดการสินค้าคงคลัง ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ผู้บริหารมีข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
🔷 การตัดสินใจที่รวดเร็ว: ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เช่น การปรับแผนการผลิตเมื่อวัตถุดิบขาดแคลน การปรับราคาเมื่อต้นทุนเปลี่ยนแปลง หรือการปรับกลยุทธ์การขายตามแนวโน้มตลาด
🔷 การตรวจสอบประสิทธิภาพ: สามารถติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPIs) ที่สำคัญได้ตลอดเวลา เพื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
2. การจัดการซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ
🔷 การจัดซื้อที่ชาญฉลาด: ระบบจะช่วยในการคาดการณ์ความต้องการวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำขึ้น ทำให้การจัดซื้อมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
🔷 การบริหารสินค้าคงคลังที่ดีขึ้น: ระบบสามารถติดตามสต็อกได้อย่างแม่นยำ รวมถึงสินค้าที่เน่าเสียง่าย ช่วยในการจัดการแบบ First-In, First-Out (FIFO) หรือ First-Expired, First-Out (FEFO) เพื่อลดการสูญเสียจากสินค้าหมดอายุ และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ
🔷 การวางแผนการผลิตที่เหมาะสม: ระบบช่วยวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และความพร้อมของวัตถุดิบ ลดเวลาหยุดทำงาน และเพิ่มกำลังการผลิต
3. การควบคุมคุณภาพ และการติดตามย้อนกลับที่เหนือกว่า
🔷 การบันทึกข้อมูลแบบละเอียด: ระบบ ERP ช่วยบันทึกข้อมูลของวัตถุดิบทุกชนิด ตั้งแต่แหล่งที่มา วันที่ผลิต/นำเข้า ล็อตที่ผลิต ไปจนถึงการตรวจสอบคุณภาพในแต่ละขั้นตอนการผลิต
🔷 การติดตามย้อนกลับแบบ End-to-End: เมื่อเกิดปัญหาด้านคุณภาพ ระบบสามารถระบุแหล่งที่มาของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบ ไปจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย ช่วยให้การเรียกคืนสินค้า (recall) ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและจำกัดความเสียหาย
🔷 การปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ระบบช่วยให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยการเก็บบันทึกข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบ
4. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการจัดการสูตร
🔷 การจัดการสูตรที่ซับซ้อน: ระบบรองรับการจัดการสูตรที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในการคำนวณต้นทุนต่อหน่วย การปรับขนาดการผลิต และการบริหารจัดการวัตถุดิบตามสูตร
🔷 การควบคุมกระบวนการผลิต: ระบบช่วยติดตาม และควบคุมทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ การผสม การบรรจุหีบห่อ ไปจนถึงการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูป ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มคุณภาพ
🔷 การจัดการผลผลิตร่วม/ผลพลอยได้: สามารถคำนวณต้นทุนและบริหารจัดการผลผลิตร่วมและผลพลอยได้ได้อย่างแม่นยำ
5. ความยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ (Scalability)
🔷 ปรับตามการเติบโต: ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเพิ่งเริ่มต้น หรือกำลังขยายตัว ระบบสามารถปรับขนาด (scale) ตามความต้องการของคุณได้อย่างง่ายดาย
🔷 เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา: ด้วยการทำงานบนคลาวด์ พนักงานสามารถเข้าถึงระบบได้จากทุกที่ ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์ใดก็ได้ ขอเพียงมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน
6. การลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไร
🔷 ลดต้นทุนการดำเนินงาน: การปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดของเสีย ลดข้อผิดพลาด และลดความจำเป็นในการลงทุนฮาร์ดแวร์ขนาดใหญ่ ช่วยลดต้นทุนโดยรวมของธุรกิจ
🔷 เพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน: ระบบอัตโนมัติช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยมือ ทำให้พนักงานสามารถทุ่มเทให้กับงานที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้
🔷 ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์: มีเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มการตลาด พฤติกรรมลูกค้า และประสิทธิภาพการขาย เพื่อปรับกลยุทธ์และเพิ่มรายได้
7. นวัตกรรม และการแข่งขัน
🔷 พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง: ระบบได้รับการอัปเดต และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเข้าถึงฟังก์ชันใหม่ๆ และเทคโนโลยีล่าสุดอยู่เสมอ ช่วยให้คุณก้าวล้ำนำคู่แข่ง
🔷 ปรับปรุงการบริการลูกค้า: การมีข้อมูลที่ถูกต้อง และรวดเร็ว ช่วยให้คุณสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สร้างความพึงพอใจและส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
แนะนำ 3 ระบบ SAP ERP ยอดนิยมที่ธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มชั้นนำเลือกใช้
1. SAP S/4HANA Cloud
เหมาะสำหรับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ที่มีความซับซ้อนมาก ที่ในกระบวนการทางการบัญชี การเงิน การผลิต หรือซัพพลายเชน ต้องการระบบที่มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการธุรกิจ โดยใช้งานผ่านระบบ Server แบบ On-Cloud ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบ Private Cloud หรือแบบ Public Cloud พร้อมรอบรับการเติบโต การขยายตัวในทุกด้าน ใช้ระยะเวลาในติดตั้งระบบประมาณ 4-8 เดือน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ SAP S/4HANA Cloud ได้ที่ คลิก)
2. SAP Business One
เหมาะสำหรับบริษัทที่มีขนาดกลาง (SMEs) รวมไปจนถึงธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่มีความต้องการทางธุรกิจไม่ซับซ้อนมาก มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามความต้องการของธุรกิจ โดยสามารถเลือกรูปแบบการติดตั้งได้ทั้งแบบ On-Premise หรือ On-Cloud ตามความต้องการของธุรกิจ ใช้ระยะเวลาในการติดตั้งระบบประมาณ 4-5 เดือน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ SAP Business One ได้ที่ คลิก)
3. NEXcloud ERP
เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก – กลาง (SMEs) ซึ่งเป็นระบบ Cloud ERP ที่ทางเน็กซัสฯ ได้พัฒนา และออกแบบต่อยอดบนระบบ ERP – SAP Business One และนำเสนอโซลูชันออกมาในรูปแบบแพคเกจ (Business Best Practices Package) สำเร็จรูป สำหรับแต่ละประเภทธุรกิจ เพื่อให้ตอบสนองการทำงาน และครอบคลุมไปยังหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ใช้การติดตั้งในรูปแบบ On-Cloud ใช้ระยะเวลาในการติดตั้งระบบเร็วสุดภายใน 1 เดือน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ NEXcloud ERP ได้ที่ คลิก)
FAQ
คำถามที่พบบ่อย

เลือก SAP ERP ทำไมต้องเน็กซัสฯ
- เพราะหลายธุรกิจชั้นนำเลือกให้เน็กซัสฯ วาง และดูแลซัพพอร์ตระบบ SAP ERP ทั้ง SAP S/4HAAN และ SAP Business One
- มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญใน SAP ERP มามากกว่า 26 ปี และเป็น SAP Partner ในระดับ SAP Gold Partner
- ให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางธุรกิจไปจนถึงการดำเนินการวางระบบ และ Maintenance Support โดยทีมงานมืออาชีพ และมีประสบการณ์
- ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และได้รับใบรับรองจาก SAP Global Certification
- มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 10 อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการจัดจำหน่าย ธุรกิจการค้าปลีก-ค้าส่ง และธุรกิจการให้บริการ